คัมภีร์ปฐมจินดา ตอนที่ 3


โดย  ยส  พฤกษเวช


คัมภีร์ปฐมจินดาตอนที่ 3    จะกล่าวถึง ผูก 2 และ ผูก 3





พระคัมภีร์ปฐมจินดาผูก  2  ปริเฉท  1        กล่าวถึงเรื่อง  9  ประการ ดังนี้

          1. ลักษณะปักษี และปีศาจกระทำโทษแก่กุมาร

          2. ลักษณะรูปสตรีและรูปกุมาร

          3. ประเทศที่เกิดมี  4  ประเทศ
                          
         4. กล่าวด้วยยารักษาซางและเขม่า

         5. กล่าวลักษณะรูปดวงซางต่าง ๆ
                   
         6. กำเนิดหละแห่งซางมี  9  ประการ

        7. กล่าวกำเนิดซางทั้งปวง  ซาง  7  วัน
            
        8. กล่าวอาการไข้อันบังเกิดแก่กุมาร

        9. กล่าวสรรพยาสำหรับโรคทั้งปวงแห่งกุมาร






1. ลักษณะปักษี ปีศาจกระทำโทษแก่กุมาร

1.1  ลักษณะปักษี    4  ประการ

1.1.1  นนทปักษี      
ทำให้ท้องขึ้น  ท้อง/หลังร้อน   เมื่ออยู่เรือนไฟเข้าไส้เป็นเสมหะ  ให้เจ็บทั้งตัว  ราก/ สำรอกทางจมูก  นนทปักษีเข้าไส้ออกทางทวารหนัก  เข้าตอนเช้าออกสิ้นแสงตะวัน   กุมารตกใจจึงเข้าเมื่อสัตว์กัดกันจึงออก   (แก้ให้เอาใบหนาด+มหาหิงคุ์ บดทาตัว)

1.1.2.  กาลปักษี        
ทำให้รากทางปากและจมูก  เมื่อแม่ออกไฟได้  5  เดือน  ปิศาจออกนอกไส้เป็นขด  สั่นดังอยู่จ้อๆ  ร้องไห้เป็นครู่   ถอนใจใหญ่  ร้องไห้เมื่อหลับ  กาลปักษีกระทำโทษ  ออกทางปัสสาวะ  เข้าเมื่อนอนออก  เมื่อตะวันขึ้น (แก้ให้เอาสาบแร้ง  สาบกา  เขาควายผสมกันเผารม)

1.1.3.  อสุนนทปักษี    
ให้สะดุ้ง  ร้องไห้  หลับผวา  ร้องตกใจ  อยากน้ำ  ตัวร้อน  นอนไม่หลับ  กินข้าวไม่ได้  อยู่ในตับ  เข้าทางจมูกออกทางจักษุเข้าเที่ยงวันออกเที่ยงคืน(แก้ให้เอาขนนก  ขนกา  ผสมกันเผารม)

1.1.4.  เทพปักษี          
ท้องขึ้น  มือเท้าเย็น  เป็นเหน็บ  ให้ตัวร้อน  ให้ง่ามือ/เท้าเมื่อออกเรือนไฟแล้วได้  3-4  เดือน  ให้เหลือกตาซ้ายขวาช้อน  ให้ร้อนตา  กระหม่อมพร่อง  เทพปักษีเข้าทางนมออกทางเท้า  เข้าเย็นออกเช้าก่อนสาย (แก้ให้เอาพลับพลึง สุพรรณถัน  ผสมกันเข้าเผารม)



 
1.2.  ลักษณะกุมาร  4  ประการ

1.2.1.   มหัศรูป        กระหม่อมห่าง  ไส้พอง  อัณฑะยาน  เป็นเขม่าซาง ร้องไห้แหบดังเสียงแมวท้องขึ้น  รากออกทางจมูก

1.2.2.   อทิศรูป        กระหม่อมลึก  อยู่ในเรือนไฟ  เขม่าขึ้นพอประมาณ  ซางขึ้นในลิ้นจนถึงปลายลิ้น  ซางลงท้อง ให้ลงและอาเจียน

1.2.3.   หริตรูป         กระหม่อมเป็นร่อง  เมื่ออยู่ในเรือนไฟ  เขม่าขึ้นในทรวงอกถึงปลายลิ้น  5  วัน  ลงท้อง  รากและไอ

1.2.4.  มนุษย์รูป     กระหม่อมเต็ม  อยู่ในเรือนไฟไม่มีเขม่าและซาง   ออกแล้วบังเกิดซางตั้งแต่นาภี  อก  คอ  เพดาน  กระหม่อม   สันหลัง  อยู่ในท้องแม่อยากของคาว   อายุ 3-6 เดือน   ผอมแห้งรักษายาก





1.3.  ประเทศที่เกิดมี  4  ประเทศ

1.3.1.  เกิดในประเทศที่น้ำตมและน้ำเค็ม หนาว บังเกิดโรค มีเสมหะเป็นต้นเหตุ

1.3.2.  เกิดในประเทศที่สูง    บังเกิดโรค มีกำเดาเป็นต้นเหตุ

1.3.3.  เกิดในประเทศน้ำตมและน้ำฝนต่อกัน    บังเกิดโรค มีลมเป็นต้นเหตุ

1.3.4.  เกิดในประเทศป่าดงและที่มีกรวดทราย    บังเกิดโรค มีโรคเรื้อนเป็นต้นเหตุ
 

ยังไม่ขอกล่าว

1.4.  กล่าวด้วยยารักษาซาง  หละและเขม่า
1.5.  กล่าวลักษณะรูปดวงซางต่าง ๆ                      
1.6.  กำเนิดหละแห่งซาง
1.7.  กำเนิดซางทั้งปวง  ซาง  7  วัน


 
 
1.8.  กล่าวกำเนิดอาการไข้แก่กุมารกุมารี

1.  ไข้เพื่อซางแดงและไฟธาตุกำเริบ   เอ็นนิ้วชี้แห่งกุมารนั้นแดงขึ้นมาดุจน้ำชาดก็ดี  ดุจดังแสงเพลิงก็ดี  ลักษณะดังนี้เป็นไข้   เพื่อซางแดงจึงจะชอบโรคชอบไฟธาตุ

2.  ไข้เพื่อเสมหะ  กินข้าว  กินนม  ย่อมให้ราก

3.  ไข้เพื่อลม  นอนพักเงียบอยู่ตาแข็ง  คางแข็ง  ตามัวลงให้  พิจารณาตานั้นเถิด

4.  ถ้าเป็นเพื่อไฟธาตุและเสมหะระคนกัน     ให้ตาใสมิได้มัว

5.   กุมารไข้ในเดือน  1  เดือน  2  เดือน  3     ห้ามมิให้มารดากินฟักเขียว

6.   กุมารไข้ในเดือน  4 เดือน 5 เดือน 6 เดือน 7  เดือน 8    ห้ามมารดากินน้ำอ้อย  น้ำตาล   ผลไม้หวาน   และอาบน้ำฝน

7.  กุมารไข้ในเดือน  9 เดือน 10 เดือน 11 เดือน 12     ห้ามมารดากินเนื้อดิบและ  ปลาดิบ  ผักพล่าปลายำทั้งปวง






1.9. กล่าวสรรพยาสำหรับโรคทั้งปวงแห่งกุมาร (ไม่ขอกล่าว)







ซาง  คือ  โรคของเด็กเล็กต่ำกว่า  5  ขวบ  ไม่กินนม  ข้าว  อาเจียน  ซึม  มีเม็ดขึ้นในปากคอ  ลิ้นเป็นฝ้า

ดวงซาง  9  จำพวก   เกิดจรกินไส้พุง  ตับ  ปอด  หัวใจ



พระคัมภีร์ปฐมจินดา   ผูก  3   ปริเฉทที่  1 (อาทิตย์)

ซางเพลิง  (เจ้าเรือน)            

มีแม่  4  ยอด  บริวาร  40  ยอด   เขม่าขึ้นแต่อยู่ในเรือนไฟ  ยอดแดงดัง ผลมะไฟ  แล้วดำด้านลง  ขอบดวงแดงดุจเพลิงไหม้  หนังพองเลื่อนเข้าหากัน  ปวดหลังเท้าถึงลำแข้ง  ขา  ตะโพก  บั้นเอว  เมื่อครรภ์ มารดาได้  3 เดือน    มารดามักเป็นพรรดึก  ขัดเบา  ปัสสาวะเป็นโลหิต    มักจุกเสียด  เอ็นย่อมชักให้มือสั่น  ให้ครั่นเนื้อตัว   ให้ผอมเหลือง  ให้เดิน        ไกลมิได้  ให้ขัดหัวเหน่าและท้องน้อย  ให้สลักตะคากเจ็บตะโพก   อยากของหวาน
                                           
ซางกราย  (จร)            

มีแม่  4  ยอด  บริวาร  40  ยอด   กระจายดุจดังยอดผด  นอนบิดตัวสดุ้ง    ทำให้ตัวร้อน   ให้ลงและราก กระหายน้ำ  กินข้าว ดื่มนมมิได้

 
หละอุไทยกาล  (ซางไฟ, ซางแดง) อาทิตย์, อังคาร      

ชักเท้า/มือกำ กระทืบเท้า   ร้องไห้  อุจจาระ/ปัสสาวะมิออก

ละอองเปลวไฟฟ้า      

เม็ดยอดแดง ดังน้ำชาดหรือดังยอดทับทิม   แรกขึ้นทำพิษให้ตา เหลือง  ลิ้นกระด้างคางแข็ง   ตาแข็ง  ชักเท้า/มือกำ กระทืบเท้า      ตัวร้อนเป็นกำลัง  แก้ไม่ทันกำหนดเช้าจนเที่ยงตาย  

ห้าม   วางยา เผ็ดร้อน เข้าเหล้า น้ำมัน น้ำส้ม แก้ด้วยยาเย็นหอม  ฝาดขม จึงรอดชีวิต


ลมประวาตะคุณ หรือลมประวาติคุละมะ

คือ ลมก้อนดานที่ตั้งแอบ ก้อนบมทักษิณะคุละมะอยู่ทำให้่เป็นก้อนดานเถา  อยู่ในอก และตั้งอยู่บนยอดไส้เกี่ยวผ่านลมในนาภี                                                                                                  





พระคัมภีร์ปฐมจินดา   ผูก  3   ปริเฉทที่  2 (จันทร์)

เมื่อครรภ์มารดาได้  3  เดือน  มารดามักให้ปวดศีรษะแลเจ็บนม  อยากของหวาน   เมื่อยแขน    ให้หูหนัก  ตาฟาง  มักเป็นลม  ให้มึน ให้ตึง  ให้ราก  ให้กระหายน้ำเป็นกำลัง ไปจนกำหนดคลอด



ซางน้ำ  (เจ้าเรือน)    

มีแม่  19  ยอด  ยอดโตเท่าใบพุทรา   สีแดงดังผลปรังห่าม   ขึ้นที่  ต้นแข้งขา  กลางหลัง  หน้าแข้ง 2 ข้าง  แลแก้มทั้ง  2 ข้าง  จนอายุ      2 ขวบ 6 เดือน


ซางฝ้าย (จร)  

เกิดขึ้นในลิ้น ในปาก   ไม่มียอดขึ้นที่เพดาน  กระพุ้งแก้ม  ไรฟัน ลิ้นขาวดังยวงฝ้าย  มีใยดุจสำลีดีดแล้ว ทำพิษร้อนทั่วตัว    ปากร้อน    แห้ง    ไม่มีน้ำลาย   หุบปากมิลง  กินข้าว/นมไม่ได้   อาเจียน  ลงท้องเหม็น  ดังไข่เน่า



หละแสงพระจันทร์ (ซางน้ำและซางช้าง) จ. , ศ.

ยอดเหลืองดังเม็ดข้าวโพด  ขึ้นแต่ต้นขากรรไกรซ้าย /ขวา  แล้วลงท้อง   ตาแข็ง   ลิ้นกระด้างคางแข็ง  ร้องไห้ไม่มีน้ำตา  หน้าผากตึง   แล้วให้ตัวเย็น


ละอองแก้ววิเชียร หรือละอองพระบาท 

ขาวเป็นมันดุจมะพร้าวกะทิทั้งปาก  ที่เพดาน  ลิ้นกระพุ้งปาก   กินข้าว/นมมิได้  ทำพิษให้ร้อน  นอนไม่หลับ  สะดุ้ง  บางทีลงท้อง   บางทีท้องผูกแล้วท้องขึ้น  ตาเหลือกตาช้อน  ไอมาก   ถ้าเห็นเพดานลิ้น กระพุ้งปากขาวดังกล้ามมะพร้าวยังไม่ได้ขูดนั้น เรียกว่า  ละอองพระบาท


ลมโกฐฐาสยาวาตา  ลมพัดอยู่ในลำไส้  ถ้าออกจากตัวกระทำให้เป็นไปต่าง ๆ  ลมธาตุนี้จะลงนับเวลามิได้ ครั้นจะให้ลงไปมากก็มิได้  ถ้าลงไปนักก็จะทำให้จุกแน่นอยู่ใน ลำคอ กินข้าว นม ยา มิได้  เพราะรากอยู่รุนแรง และน้ำลายเหนียว  ถ้าน้ำลายเหนียวเข้าเมื่อใดตาย





พระคัมภีร์ปฐมจินดา   ผูก  3   ปริเฉทที่  3 (อังคาร)

            เมื่อครรภ์มารดาได้  3  เดือน  มักเป็นลมจุกเสียด  ให้วิงเวียน  ให้หอบพัก  แลราก  ให้เมื่อยมึน    มือเท้าบวม  นอนไม่หลับ



ซางแดง  (เจ้าเรือน)  

มีแม่  6  ยอด  บริวาร  72  ยอด    สำแดงที่คอ  คาง  ขาหนีบ  รักแร้ข้างนอก  ทวารหนัก   ทำให้  ตกมูกเลือด  ตกหนอง  ม้ามย้อย      ตัวร้อน  ผอมเหลือง  อุจจาระ/ปัสสาวะเหลือง  จุกเสียด  เสมหะฟูม  มือกำ เท้ากำ   อายุ  3  เดือน  ไปจน  1 ขวบ 9 เดือน



ซางแดงตัวผู้  ขึ้นอก

ทำให้หอบขึ้นไหล่  เจ็บหลัง  ถ้าขึ้นคอกินข้าว/นม ไม่ได้  เมื่อจะแสดงอาการตายนั้น  ผุดขึ้นรักแร้ข้างละยอดเท่าผลบัว  จมอยู่ในเนื้อ   ผุดออกมาดังสีควันเทียนลามมาหน้าผากดุจกลีบจำปา   เมื่อตายผุดออกทั่วตัวเป็นแว่นเป็นวง  มีสีเหลือง  แดง  ขาว   ดุจดังประทับตราลงไว้  (ซางแดงมีโทษมาก ร้ายแรงกว่าซางทั้งปวง)


ซางกระแหนะ   (จร)       

มีแม่  3  ยอด บริวาร  30   ยอดซางเหลืองขึ้นปลายลิ้น  บริวารล้อมแม่ซางแล้วตั้งเปลวออกไปดังอุณาโลม  ทำพิษให้ดูดนมมิได้  ลิ้นกระด้างคางแข็ง มือกำเท้ากำ           5  เดือน ลงมูก  ถ่ายเป็นน้ำล้างเนื้อ น้ำชานหมาก  เสมหะโลหิตเน่า  ซูบผอม  กินอาหารไม่ได้
หละอุไทยกาล (ซางแดง  , ซางไฟ) อังคาร,อาทิตย์   ชักเท้า/มือกำ กระทืบเท้า   ร้องไห้  อุจจาระ/ปัสสาวะมิออก


ละอองแก้วมรกฏ  เมื่อเกิดหน้าเขียว  หน้าดำ  ชักเท้ากำมือกำ  อ้าปากมิออก  ลิ้นกระด้าง    คางแข็ง    แก้ไม่ได้  ตาย


ลมอุทรวาต

ลมกำเหนิดตั้งแต่กุมารอยู่ในครรภ์  ทำให้ร้องไห้ตั้งแต่ในเรือนเพลิง จนถึง 3  เดือน  จึงจะหายไปเอง  แก้ด้วยยามิหาย  ลมเมื่อถอยลงมาจากศีรษะแลลงทรวงอกนั้นแล้ว  ลงมาตั้งอยู่ในนาภีจึงเรียกว่า ลมกองใหญ่พัดขึ้นมาตามนาภี ตามเส้นชิดกระดูกสันหลังขึ้นมาในอกและลำคอแล้วส่านออกช่องหู จมูกแลกระหม่อม  ถ้าข้างขึ้นตาย ข้างแรมไม่ตาย แลประเภทดังนี้คือ ต้องระบองราหูก็ว่ากุมาทสังก็ว่า อักขมูขีก็ว่า แลสะพั้น ๗ จำพวก หญิงชายก็เป็นดุจเดียวกัน






พระคัมภีร์ปฐมจินดา   ผูก  3   ปริเฉทที่  4 (พุธ)

เมื่อครรภ์มารดาได้  3  เดือน  มารดามักให้จุกเสียด  ครั้นได้  5  เดือน มักให้ราก  ครั้นได้  7 เดือน มักให้บวมเท้าถึงต้นขา  ให้ขัดตะโพก  กินอาหารมักให้ขม  ให้พรึงเป็นเม็ดยอดขึ้นทวารหนักทวารเบา  ให้เมื่อยไปทั้งตัวจนกำหนดคลอด


ซางสะกอ  (เจ้าเรือน)            

มีแม่  4  ยอด  บริวาร  42  ยอด    เกิดที่คอและลิ้นเหงือกข้างบน/  ล่าง  ทำให้ลง ราก กระหายน้ำ  ตัวร้อนเชื่อมมึน  กระสับกระส่ายทั้งตัว  ลงท้องตกมูก เลือดหนอง ตกมูตรเหลือง  ท้องโตจุกเสียด  ผอมเหลือง เจ็บท้อง    กินข้าว/นม ไม่ได้



ซางกระตัง   (จร)                  

มีแม่  3  ยอด  บริวาร  30   สู้ยา   กวาดเช้าค่ำก็ขึ้นอีก  กวาดค่ำเช้าขึ้น  ทำให้ท้องขึ้นตัวร้อน  แสยงขน ร้องไห้บิดตัว   ลงท้อง  กระหายน้ำ เป็นวิปริตต่าง ๆ   เมื่อรู้ย่างรุ้เดินไส้พุงกระฉ่อนทำให้ตกมูก ตกเลือด


หละเนียรกันถี (นิลเพลิง)  

เมื่อตั้งขึ้นเห็นเขียวดังใบไม้สด  แล้วเป็นสายโลหิต  ผ่านไป  5  วันจะให้ลงท้อง  ท้องขึ้น  ริมฝีปากแห้ง คอแห้ง  ละอองแสงเพลิง     แรกเกิดกระขาวข้างกระพุ้งแก้ม อยู่วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ให้คล้ำเขียวดังใบไม้ ทำพิษเชื่อมมึนลงท้อง  อุจจาระเขียวดังใบไม้ เหตุ ละอองลงไปจับไส้อ่อนและขั้วดี


ลมสุนทรวาต  

ตั้งขึ้นมาแต่สะดือ  และท้องน้อย  ทำให้เจ็บท้อง/ท้องขึ้น  ลงท้อง  มักให้นอนหลับไป  ท้องขึ้นหน้าเขียว ชักมือกำเท้ากำ




 
พระคัมภีร์ปฐมจินดา   ผูก  3   ปริเฉทที่  5 (พฤหัสบดี)

      เมื่อครรภ์มารดาได้  3 เดือน  มักให้มารดาปากเปื่อยแลให้ลิ้นเป็นยอดขึ้นมาข้างริมลิ้น ข้างละ  5  ข้างละ  6  ยอด  แลให้กินเผ็ดกินร้อนมิได้  ครั้นได้  6  เดือน  ก็ลามออกมากลางลิ้น  จึงแตกระแหง  แล้วให้ปวดแสบเป็นกำลัง  แล้วให้เป็นบิด  ตกมูกเลือด  ต่อคลอดแล้วจึงหาย


ซางโค  (เจ้าเรือน)

มีแม่  4  ยอด  บริวาร  40  ยอด  เมื่ออยู่ในเรือนไฟ เขม่าตานซางขึ้นเต็มปากและหายไป  จึงทำให้เพิ่งขึ้นทั้งตัว  ดังยอดผด  ทำให้ ตัวร้อน  บิดตัวจนลงไปทำท้อง  อายุ 1  ขวบ  6  เดือน  ทำให้ตกมูก ตกโลหิต เป็นไปต่าง ๆ


ซางข้าวเปลือก (จร)        

มีแม่  5  ยอด  บริวาร  50  ยอด  เกิดเพื่อกำเดา  แรกบังเกิดให้ปากร้อน  ลงท้อง  มือเท้าเย็น   แล้วขึ้นผื่นทั้งตัว  ดังคายข้าวเปลือกให้คันเล็กน้อย  ไม่รู้ก็ว่าหัด  บางทีผุดดังปานดำปานแดง  บางทีผุดดังถูกตีด้วยนิ้วมือดำ  แดง  เขียว  ให้ราก  ลงท้อง  ท้องขึ้น  ชักเท้ากำมือกำ  ลิ้นกระด้างคางแข็ง ดูดนมมิได้  ให้เป็นไป  3 วันถึง 7 วันทีหนึ่ง  พ้นกว่านั้น  อาการตัด


หละนิลกาฬ  

ยอดดำดังสีนิล  เมื่อบังเกิดขึ้นให้ตายไปครึ่งตัว  ร้องไห้มิออก  ขึ้น  1 วัน  2 วัน  กลายเป็นมหานิลกาฬให้เขียวไปทั้งตัว


ละอองมหาเมฆ  

บังเกิดขึ้นดังดอกตะแบกช้ำ  จับให้หน้าเขียว  ชักเท้ากำมือกำ   ตาช้อนดูสูง  อุจจาระ/ปัสสาวะมิออก


ลมหัศคินี  

ลมนี้เกิดเมื่อตั้งมูลปฏิสนธิได้  3  เดือน  ชักเท้ากำมือกำ  หลังแข็ง  เหงื่อตก  ท้องขึ้น  เป็นเช้าเที่ยงตาย เป็นเที่ยงค่ำไม่ตาย  ห้ามอาบน้ำเช้า/เย็น  ห้ามกินยาเข้าสุรา   ลมนี้ชอบยาเย็นเป็นยาสุขุม






พระคัมภีร์ปฐมจินดา   ผูก  3   ปริเฉทที่  6 (ศุกร์)

     เมื่อครรภ์มารดาได้  3 เดือน  ให้ทวารเบานั้นพรึงขึ้นดังยอดผด  แล้วให้คัน  ครั้นเมื่อแตกออกก็เปื่อยลามเป็นน้ำเหลืองรอบทวาร  แลให้ปวดหัวเหน่าเป็นกำลัง  ให้เจ็บสองตะคาก  แลให้ขัดเบา  ครั้นได้  4 - 7  เดือน  ให้จุกเสียด  ครั้นได้  8 - 9  เดือน  ให้บวมเท้าไปจนกำหนดคลอด


ซางช้าง  (เจ้าเรือน)  

มีแม่5 ยอด  บริวาร  80  ยอด  กระทำให้ไอ  คอแห้ง เจ็บคอ  อาเจียนลมเปล่า   ให้พุพองรอบคอเปื่อยเน่ากันไปทั้งตัว   ลงท้องทำให้อาเจียน  กินข้าว/น้ำมิได้   ขึ้นในกระเพาะทำให้เบื่ออาหาร  ขึ้นลำไส้เป็นพรรดึก  ขึ้นหัวเหน่าขัดปัสสาวะ  นั่ง เดินทำให้ตกมูก ตกเลือดด้วย   ตับ  ปอด  ไส้  พุง  พองขึ้น  เมื่อกินอาหารมันคาว  จึงแปรธาตุทั้ง 4 พิการ  ถ้าไม่รักษาไม่รอด  เมื่อตายนั้นให้ดูที่  ท้อง  คอ  อก  ลายดุจนกกรอดรอบนาภี  ที่ยอดอกเขียวไข่กา  ที่คอแดงดุจสายเลือด  บวม

 

ซางกระดูก (จร)          

ตั้งยอดได้  2  วัน  หลบหายเข้าไปในท้อง  ทำให้ลงท้อง  เท้า-มือเย็น  แม่ซางนั้นจึงกลับมาขึ้นต้นลิ้นยอดหนึ่ง  แข็งดังตาปลา  ถ้าแก้ให้แกะ  ให้แทงยอดก่อน  แล้วเอายาป้าย



หละแสงพระจันทร์     ยอดเหลืองดังเม็ดข้าวโพด  ขึ้นตั้งแต่ต้นขากรรไกรซ้าย /ขวา  ลงท้อง    ตาแข็ง   ลิ้นกระด้างคางแข็ง  ร้องไห้ไม่มีน้ำตา  หน้าผากตึง แล้วให้ตัวเย็น



ลมอริต      บังเกิดคอเขียว  ชักเท้ากำมือกำ  ร้องไห้ไม่ออก  ลิ้นกระด้างคางชักแข็ง  น้ำลายฟูมปาก  ลูกตากลับกลอกไปมา  ยักคิ้วหลิ่วตา   เสมหะปะทะคอดังกรอกๆ เมื่อตายตัวเหลืองดังรดด้วยน้ำขมิ้นสด

 


พระคัมภีร์ปฐมจินดา   ผูก  3   ปริเฉทที่  7 (เสาร์)

     เมื่อครรภ์มารดาได้  3 เดือน ให้มารดาอยากของอันคาว แลไข่เป็ด ไข่ไก่ ไข่เต่า แลของอันเผ็ดร้อน  และเปรี้ยวหวาน  ผักพล่าปลายำทั้งปวง  แลให้สวิงสวาย  มักให้เจ็บนม  แลปากมารดานั้นพรึงขึ้น  แล้วลำลาบเปื่อยออกไป  ให้ตกมูกเลือด  ให้เจ็บคอ  เจ็บเอว  จนถึงกำหนดคลอด


ซางโจร  (เจ้าเรือน) ซางขโมย        

มีแม่  9  ยอด   บริวาร  58  ยอด แม่ซางแสดงออกมาที่ปาก ขึ้นเหงือกข้างบนและล่าง   ยอดเหลืองขึ้นข้างบนหรือข้างสะดือ  ยอดดังเมล็ดข้าวสารหัก  ตรงกลางดำเป็นขอบ ถัดขอบมาเหลืองขอบตีนแดง ให้ตัวลายดังปลากระทิง  มีแม่ดังตัวไร  เจ็บทั้งตัว  ต่อมาเปื่อยเป็นขุมออกทั่วตัว  ลงท้องมิหยุด   กุมารอายุ  1  ขวบ  6  เดือน  ลงและอาเจียน  ลงเป็นส่าเหล้า  น้ำคาวปลา  น้ำล้างเนื้อ  ตกมูกเลือด ตกหนอง  ซางนี้กำหนด  4-5-6 วันแก้มิทัน  ถ้าสุกเหลืองดังขมิ้น  แล้วรายลงต้นลิ้น   เมื่องดอาหารหนัก  ซางโจรมิได้เป็นแต่กุมารเกิดวันเสาร์เท่านั้น ย่อมเข้า แทรกทุก ๆ ซางไป  เมื่อปลายมือซางนางริ้นดุจกัน


ซางนางริ้น  (จร)  

มีแม่  4  ยอด   บริวาร  56  ยอด  ยอดขึ้นแทรกซางเจ้าเรือน  หรือขึ้นเมื่อหมดซางเจ้าเรือนแล้ว  ขึ้นที่ต่าง ๆ  กระทำให้คอแห้ง ลิ้นขาวดูดนมมิได้  ทำให้ไอ กระหายน้ำ  คอแห้งเชื่อมมึนหลับตา   ตกมูก ตกโลหิตสดๆ บางทีเป็นโลหิตเสมหะเน่าออกมาบ้าง  ตับหย่อนย้อยลงมาชายโครง  จับเป็นเวลา  ตาแดงเป็นสายโลหิต   ปัสสาวะดังน้ำข้าวน้ำดินสอพอง/น้ำหนองเจ็บปวดดิ้นมา  บางทีฟกขึ้นที่หัวเหน่า   ที่องคชาตเป็นหนอง กลายเป็นปรวดเข้า  คือ ลูกนิ่ว



หละมหานิลกาฬ  

ยอดดำดังสีนิล  ขึ้น 1 วัน  แปรเป็นแสงเพลิง  ขึ้น 2 วันแปรไปเป็นสลักเพชรทั้ง 2 ข้าง    เมื่อบังเกิดขึ้นให้ตายไปครึ่งตัว ร้องไห้มิออกกลายเป็นมหานิลกาฬให้เขียวไปทั้งตัว



ละอองเปลวไฟฟ้า    

เม็ดยอดแดง ดังน้ำชาดหรือดังยอดทับทิม   ลิ้นกระด้างคางแข็ง   ตาแข็ง


ละอองทับทิม        

ชักเท้า/มือกำ  ตัวร้อนเป็นกำลัง  แก้ไม่ทันกำหนดเช้าจนเที่ยงตาย
                                               
ห้าม   วางยาเผ็ดร้อน เข้าเหล้า น้ำมัน น้ำส้ม แก้ด้วยยาเย็นหอม   ฝาดขม   จึงรอดชีวิต


ลมกุมภัณฑ์ยักษ์ และ ลมบาดทะยัก ลมจำปราบ

เมื่อจับให้ช้อนตาดูสูง  หน้าเขียว  ชักเท้ากำมือกำ  หลังแอ่น  กัดฟันลมนี้บังเกิดเมื่อกุมารจับเป็นเพื่อพิษต่าง ๆ  หรือบังเกิดเพราะเสี้ยนบาดหนาม  เป็นบาดแผลเข้าที่ใดย่อมเป็นไข้พิฆาต   จึงกำเนิดลมทั้ง  2  นี้ และลมจำปราบก็พลอยด้วย


ลมจำปราบ

ทำให้ตัวนั้นคล้ำดำเข้าอาการทำพิษดุจงูเห่า  เมื่อจับให้ดิ้นเสือกไปก่อนแล้วจึง ให้ชักหลังแอ่นไปถึงตะโพก  ตัวเย็น ขนกลับขึ้นเบื้องบน  ไม่รู้แก้  ตาย    เวลาตายโลหิตแตกทุกเส้นขน    ลมนี้ห้ามผายยาเข้าสลอด  จะตายเสีย ให้ผายด้วยยา  “ เบญจอำมฤทธิ์ ” หรือ มหาอำมฤทธิ์คู่กันก็ได้


ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

1 ความคิดเห็น:

  1. ทราง หละ ละออง ลม มันเป็นอาการเจ็บป่วยในเด็ก ที่เหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไรครับ หรือ แล้วแต่ความหนักเบา

    ตอบลบ