โดย ยส พฤกษเวช
คัมภีร์สิทธิสารสงเคราะห์ กล่าวถึงโรคของเด็กเกี่ยวกับซางเรียก ลำบองราหู ลักษณะกาฬโรค ลักษณะสันนิบาตต่าง ๆ เบญจกาฬสันนิบาต สันนิบาตบังเกิดในกองสมุฎฐาน สันนิบาตเกิดเพื่อปิตตะสมุฎฐาน ลักษณะอภิญาณธาตุ และลักษณะอสุรินธัญญาณธาตุ
ลักษณะลำบองราหูอันบังเกิดใน 12 เดือน
เดือน 5 ให้ร้อน ท้องขึ้น ท้องพอง เกิดแต่เตโชธาตุให้โทษ
เดือน 6 ทำให้มือเท้าเย็น ท้องขึ้น จักษุเหลือง จับให้สันหลังแข็ง
เดือน 7 ทำให้บิดตัว กำมือ ตาเหลือกขึ้นเบื้องบน
เดือน 8 ทำให้ปากเปื่อย ยิงฟัน
เดือน 9 ทำให้สะท้านหนาว หดมือ หดเท้า
เดือน 10 ทำให้ตัวร้อนเป็นเปลว มักให้สะดุ้ง ร้องปลอบไม่หยุด
เดือน 11 จับราวนมและรักแร้ ทำให้อ้ารักแร้ แล้วเอามือลูบอก ร้องดิ้นดังจะขาดใจ 3 วันตาย
เดือน 12 ทำให้ชัก ตัวเป็นเหน็บ หาสติมิได้ ร้องไม่ออก
เดือน 1 ทำพิษเจ็บทั่วทุกขุมขน ให้ขนชูชัน ผื่นขึ้นทั้งตัว สะดุ้ง ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
เดือน 2 จับแต่ลำคอ ทำให้อ้าปากร้องไห้อยู่ กลืนน้ำ ข้าว นมไม่ได้
เดือน 3 ให้ท้องขึ้น ท้องพองเหลือกำหนด หายใจไม่ลง ร้องดิ้นรนดังจะขาดใจ
เดือน 4 ตาเหลือง กำมือ ขยับตัวไม่ได้ แข็งกระด้างไปทั้งตัว
- ซางเพลิง : ปากเป็นส่าเขม่า (เสมหะ โลหิตระคน) กินข้าว น้ำ นม มิได้เพราะเสมหะกล้า เสมหะตกเป็นมูกเลือด พยาธิต่าง ๆ
- ซางน้ำ : คอแตกเป็นน้ำเหลือง เปื่อยไปรอบคอ หัวร้อน ตัวร้อน เจ็บท้องเป็นกำลังให้ระวังซาง ละออง หละ จร ถ้าเกิดกับเด็กดุจราหูมาทับลัคณ์
- ซางแดง : เกิดจากพิษในเด็ก3 เดือน- 1 ขวบ ทำให้ตกบุพโพโลหิต ตัวร้อน ผอมเหลือง มูตรคูถเหลือง จุกเสียดเป็นกำลัง
- ซางสะกอ : ลงท้องก่อนจึงตกเป็นมูกเลือดหนอง ตาเหลืองอุจจาระเหลือง กินข้าว นมไม่ได้ ท้องโร คร้านลุก คร้านนั่ง คร้านกิน
- ซางช้าง : เขม่ามักขึ้นในเรือนไฟ ถ้าขึ้นหลายชั้นขึ้นมาแต่ลำคอถึงลิ้นแล้ว ดาษไปทั้งปาก ไอ อกแห้ง ให้ลง /ราก กระหายน้ำ กินข้าว/นม ไม่ได้
- ซางโจร : เกิดที่ปาก เหงือกข้างบนและล่าง ซางนี้มีตัวดังไร ให้เจ็บทั่วสรรพางค์กาย ทำให้เปื่อยออกเป็นขุมทั่วตัว
ลักษณะกาฬโรค
กาฬเสตระ แรกขึ้นทำให้ตกใจสะดุ้งกลัว แล้วผุดตั้งยอดสีขาว มีน้ำใส ฟกบวม มึนไปทั่วทั้งตัว ไม่รู้สึกตัว ผิวหน้าซีดไม่มีเลือด ฝ่ามือ-เท้าซีดขาวเป็นใย ทุรนทุราย รักษาหายยากนัก
ลักษณะสันนิบาต 7 ชนิด
1. สันนิบาตกะตัดศีรษะด้วน : เกิดขึ้นที่ชายตับ ตับใหญ่ออกมาคับโครง บางทีตับหย่อน ลงถึงตะคาก จับเป็นเวลาดังไข้ เย็นทั้งตัว ท้องขึ้น ท้องพอง พะอืดพะอม
2. สันนิบาตทุวันโทษ : เกิดแต่กองสมุฎฐาน 6 ประการประชุมพร้อมกันทำให้หาวและบิดคร้าน มักทำให้ร้อนเป็นกำลังแล้วทำให้สะท้านหนาว กินอาหารไม่ได้ เหงื่อตก ปากขม วิงเวียน ผิวหน้าแตกระแหง พึงใจสิ่งอันเย็น ปัสสาวะเหลือง ตาแดง เล็บผิวตัวเหลือง มีกลิ่นดังสาบม้า เป็นทุวันโทษในมหาสันนิบาต เป็นสาทยโรคในตรีโทษนั้น
3. สันนิบาตเจรียงอากาศ : ผิวเนื้อ ฝ่ามือฝ่าเท้า เหลืองดุจทาน้ำขมิ้น เวียนศีรษะ เจ็บแสบในจักษุ กระหายน้ำ มักให้เป็นดังจะหลับแล้วมิหลับเล่า เจ็บในอก ปัสสาวะเหลืองดุจน้ำกรักอันแก่ ดูสิ่งใดนานเห็น กินอาหารไม่ได้ ซูบผอม โทษทั้งนี้เพราะ เสมหะ 1 ส่วน วาโย 2 ส่วน ดี 4 ส่วน ระคนกัน
4. สันนิบาตเจรียงพระสมุทร์ : ผิวเนื้อขาวซีด ชาสาก ฝ่ามือฝ่าเท้าซีดดุจเอาดินสอพองทาหนักมือ/เท้ามาก เจ็บทุกชิ้นเนื้อ แน่นลำคอ แน่นอก มีลมดังในคอและเรอมิได้ขาด มักขึ้งโกรธ มองดูสิ่งใดแดงไปหมด ครั้นเพ่งดูเห็นเป็นวงไปทั้งนั้น โทษทั้งนี้เพราะดี 1 ส่วน เสมหะ 2 ส่วน วาโย 4 ส่วน ระคนกัน
5. สันนิบาตบังเกิดเพื่อโลหิต : เกิดเจ็บตั้งแต่รากขวัญลงมาถึงหู แล้วจับเอาแก้วตาทำให้ ตามืด พิษแล่นเข้าจับดวงหทัย บางคนสลบดุจตาย บางคนจับมือเท้าโลดโผนโจนไป บางคนจับแน่นิ่งเรียก ไม่ได้ยิน อ้าปากไม่ออก เขม่นไปทั่วตัว ร้อนเป็นกำลัง บางทีเวียนศีรษะจนลุกไม่ได้
6. สันนิบาตบังเกิดเพื่อวาตะ : ให้จับแน่นิ่งไป ครั้นฟื้นให้ชักมือกำเท้ากำ สะท้านไปทั้งตัว หน้ามืด ตัวเย็น มือเย็น เท้าเย็น ร้อนในอกเป็นกำลัง ขัดปัสสาวะ ขัดอุจจาระ ผูกเป็นพรรดึก
7. สันนิบาตบังเกิดเพื่อเสมหะ : ให้จับเป็นเวลา คอแห้งถึงทรวงอก ปากแห้ง ฟันแห้ง ลิ้นเปื่อยแตกระแหง สะบัดร้อนสะท้านหนาว เมื่อยทั้งตัว กินอาหารไม่ได้แน่นลำคอเป็นกำลัง น้ำตาไหล
ลักษณะเบญจกาฬสันนิบาต 5 ประการ
1. อภิฆาตสันนิบาต : เกิดจากอำนาจผู้อื่นเบียดเบียน เช่น ถูกทุบถองโบยตีมีอาการปวดศีรษะดังต้องพิษอันใดอันหนึ่ง มักลงท้องกินอาหารไม่ได้และมักโกรธ กระหายน้ำ เสียดไปทั้งตัวมักให้สลบ
2. อภิวาราภัยสันนิบาต : เกิดจากความเพียรทำงานและทรมานร่างกายตลอดเวลาหาความสุขไม่ได้ มีอาการทำให้ขลาด พูดผิด ๆ ให้ทุกข์โศกบังเกิดความโกรธ สะท้านร้อน/หนาว ดุจปีศาจเข้าสิง มักให้คลั่งไคล้ กลัวคน ไหลหลงและกระหายน้ำมาก
3. อภิสังคสันนิบาต : เกิดจากการ ขัดแค้นขุ่นเคืองทำให้เจ็บช้ำน้ำใจแล้วอาเจียนเป็นโลหิต มีอาการขบศีรษะ เสียดแทงทั้งตัว สลบไปดังใจจะขาด ได้กลิ่นอันใดทำให้ร้อนทุรนทุรายยิ่งนัก
4. วิสมสันนิบาต : เกิดจากกินอาหารมีพิษหรือถูกต้องสิ่งมีพิษเป็นอชิณโรค คือ พิษสำแดง หรือ การประพฤติอิริยาบถไม่สม่ำเสมอ คือ แปลกถิ่นที่ดินและที่นอน หรือ เกิดแต่เสพเบญจกามคุณ มีอาการจิตฟุ้งซ่าน สะอึกสะอื้น ครั่นตัว กินอาหารไม่ได้
5. อาคันตุกะสันนิบาต : เกิดในที่สุดแห่งสมุฎฐาน 29 ราตรี ยังไม่สำเร็จ และสมุฎฐานโรคนั้นเจือระคนมา ได้นามว่า สันนิบาต
ลักษณะสันนิบาตเกิดเพื่อ ดีซึม
ให้ซึม หาสติสมปฤดีมิได้ จักษุแดง
ปากหนัก/หูหนัก ขัดอุจจาระ/ปัสสาวะ
ให้อิ่มไม่อยากอาหาร สะบัดร้อน /หนาว
ลักษณะสันนิบาตเกิดเพื่อ ดีพลุ่ง
ให้คลั่งเป็นคราว ๆ บางทีกล้า บางทีขลาด
แน่นอกมาก คอแห้ง ลำคอตีบ กินข้าว /
น้ำไม่ได้ อาเจียน สวิงสวายพลุ่งขึ้น / ลง
ในอก ยกมือ/เท้า ขวักไขว่
ลักษณะสันนิบาตเกิดเพื่อ ดีล้น
ให้โลดโผนโจนไป เห็นหน้าคน / สิ่งใด
ไม่ได้ ได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ได้ ดังต้อง
ลมเพลมพัด ปีศาจเข้าสิง ไม่อยากอาหาร
คอแห้ง กระหายน้ำ น้ำลายเหนียว
มือเท้าเย็นแต่ตัวร้อน
ลักษณะสันนิบาตเกิดเพื่อ ดีรั่ว
ให้ลงดุจกินยารุ มูลเหลืองดุจน้ำขมิ้นสด
เคลิบเคลิ้มหาสติไม่ได้ หิวโหย กินอาหาร
ไม่อยู่ท้อง สวิงสวาย แน่นหน้าอกมาก
ท้องลั่นอยู่เสมอมิได้ขาด
สมธาตุ : ยิ่งไปด้วยกองสรรพธาตุ โทษเกิดจากปิตตะ วาตะ เสมหะสมุฎฐานประชุมพร้อมกันในกองวีสติปัถวี อาการจับเป็นเวลา ตัวร้อนเท้าเย็น สวิงสวาย เจ็บอก กินอาหารไม่รู้รส บางทีให้มึน ให้มัว
วิสมธาตุ : ยิ่งไปด้วยกองวาโยมีกำลัง โทษเกิดแต่กองฉกาลวาโยเป็นเหตุ อาการท้องลั่นเป็นนิจบางวันผูก บางวันลง บางวันอยากอาหาร บางวันคับท้อง แน่นอกคับใจ เพลิงธาตุไม่เสมอกัน วาโยเดินไม่สะดวก
กติกธาตุ : ยิ่งไปด้วยสรรพพิษทั้งปวง เช่น พิษดี พิษเสมหะ พิษลมพิษอันพิเศษ คือ เพลิงธาตุนั้นแรง เผาอาหารฉับพลันโทษเกิดแต่กองจตุกาลเตโช มีอาการจับเชื่อมมัวทั้งกลางวันและกลางคืน มิได้เว้นเวลา ปวดศีรษะ ผิวเนื้อแดง ตาแดง ขัดอุจจาระ / ปัสสาวะ ให้อุจจาระเป็นพรรดึก
มันทธาตุ : ยิ่งไปด้วยเสมหะมีกำลัง โทษเกิดแต่ กองทวาทสอาโป มีอาการ เพลิงธาตุหย่อนเผาอาหารไม่ย่อย ทำให้ถ่ายวันละ 3 – 3 เวลา สวิงสวายไม่มีแรง ท้องขึ้นมิรู้วาย อุจจาระเป็นเมือกมัน เป็นเปลวหยาบ/ละเอียดระคนกัน ปวดมวนเป็นกำลัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น